บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

มหาสีสะยาดอว์ไปอบายภูมิ



บทความนี้ น่าจะเป็นบทความสุดท้าย ของบทความชุด “พระพม่าตาบอด” แล้ว  ผมจะให้เหตุผลว่า “ทำไมพระพม่าจึงปฏิเสธการเห็น

ขออธิบายเพิ่มเติมเพื่อย้ำสักนิดว่า พระพม่าท่านไม่ได้ปฏิเสธ การเห็น” (Seeing) ในทำนองที่ว่า เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะมี การเห็น” (Seeing)  พระพม่ายอมรับว่า ในการปฏิบัติธรรมสามารถเห็นได้ 

แต่พระพม่าท่านเชื่อว่า สิ่งที่เห็นทั้งหมดเลย  ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น เป็น นิมิตลวง  ไม่ใช่ทางตรง จะพาให้ชักช้า ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ภายใน  7 ปี  7 เดือน  7 วัน

ที่มันน่าเจ็บใจก็คือ พระพม่าท่านไปเชื่อวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันที่ตกยุคไปแล้ว นักวิทยาศาสตร์เก่า ท่านยอมรับไม่ได้ ว่าจะมี การเห็น” ในลักษณะดังกล่าวนั้น 

พระพม่าได้เอาอิทธิพลของวิทยาศาสตร์เก่าเข้ามาปะปนกับการปฏิบัติธรรม

การที่เหมารวม การเห็น ของการปฏิบัติธรรมว่าเป็นนิมิตลวงทั้งหมด ก็เป็นการหาเหตุผลมาใส่ในภายหลัง

ถึงว่าประเทศพม่าถึงเจริญลงๆ ตกต่ำไปเรื่อย

คิดอีกอย่างหนึ่ง หรือจะเป็นบาปกรรมร่วมของสังคมพม่า ที่มาเผาพระ ลอกทองของเราไป ตอนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2

โดยสรุป

จากที่เขียนมาทั้งหมดนี้ สรุปได้ว่า ในการค้นคว้าหาความรู้  ทั้งทางโลกและทางธรรมต้องอาศัย การเห็น เหมือนกัน

การที่ผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปไม่เชื่อคัมภีร์วิสุทธิมรรค ไม่เชื่อสติปัฏฐาน  4 เพราะ สติปัฏฐาน  4 เป็น อนุปัสนา/ตามเห็น ซึ่งก็คือ ไม่เชื่อพระไตรปิฎก ซึ่งก็คือ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แต่ไปเชื่อพระพม่า

พระพม่าเอง ก็ไม่รู้ว่าตัวท่านนั้นเข้าใจผิด พระมหาสีสะยาดอว์นั้น ผู้ได้วิชชาธรรมกายชั้นสูงตามไปดูแล้ว ไม่ได้ไปอย่างมีความสุขแต่อย่างไร เมื่อมรณภาพไปแล้ว 

พูดให้ง่ายๆ เข้าใจชัดๆ คือ พระมหาสีสะยาดอว์มรณภาพไปแล้ว ก็ไปสู่อบายภูมิ ไม่ได้ไปสวรรค์ รูปพรหม หรืออรูปพรหมแต่อย่างใด

ตรงนี้เป็นปัญหาทางญาณวิทยา/ทฤษฎีความรู้ (Epistemology) ที่สายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปไม่รู้จะเถียงยังไง

เรียกว่า แพ้กันมาตั้งแต่ในมุ้ง

คือ ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปจะแย้งว่า ที่ผมเขียนไป "ไม่จริง" ก็ทำไม่ได้ ก็เพราะ ตำรับตำราของสายวิชาธรรมกายเขายืนยันการเห็น

ตำราของหลวงพ่อวัดปากน้ำมีสอนเลยว่า จะไปสวรรค์ทำยังไง  จะไปนรกทำยังไง  เวลาจะคุยกับเทวดาหรือสัตว์นรกจะทำยังไง

เมื่อมีผู้ยืนยันว่า ท่านทำวิชาธรรมกายชั้นสูงได้  ในทางวิชาการก็สามารถยอมรับได้ว่า ท่านก็กล่าวอย่างมีเหตุผล เพราะ หลักสูตรของวิชาธรรมกายเขียนไว้อย่างนั้น

ที่นี้ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปจะโต้แย้งบ้าง ก็ไม่รู้จะทำยังไง

สมมุติว่า จะแย้งว่า เขาก็ปฏิบัติธรรมได้ชั้นสูงเหมือนกัน ไปดูบนสวรรค์แล้ว  ปรากฏว่า พระมหาสีสะยาดออยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต

อย่างนี้ผมเถียงได้สบายเลยว่า

อ้าว.........ก็อาจารย์คุณเขาสอนห้าม "เห็น"   ถ้าเห็นอะไรผิดหมด  แล้วคุณจะ "เห็นได้อย่างไร"  ถ้าคุณเห็น คุณก็ต้องใช้วิชาอื่นแล้ว

ดังนั้น  สายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูปนี่ ถ้าพิจารณาในแง่ ญาณวิทยา/ทฤษฎีความรู้ (Epistemology)  เครื่องมือของท่านคับแคบ มีประสิทธิภาพน้อยเหลือเกินในการหาความรู้

สุดท้ายจริงๆ ก็ต้องจบด้วยข้อความที่ต้องการย้ำอีกทีว่า  ก็เลือกที่จะตาบอดเอง ทั้งๆ ที่ตาก็ยังดีอยู่ แล้วจะโทษใคร..

พระมหาสีสะยาดอว์นั้น เป็นผู้ก่อให้เกิดสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปในเมืองไทย 

ขณะที่ “ต้นสายวิชา” ยังไม่ได้พบกับความสุขเมื่อมรณภาพไปแล้ว  ผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปก็คิดเอาเองก็แล้วกันว่า เมื่อท่านตายไปแล้ว  ท่านจะไปอยู่แห่งหนใด

ก็เลือกที่จะตาบอดเอง ทั้งๆ ที่ตาก็ยังดีอยู่ แล้วจะโทษใคร...

ท้ายที่สุด ขอแถมอีกนิดหนึ่ง ผมก็มีเหตุผลที่แปลกๆ หน่อยหนึ่ง  คือ

พระผู้ปฏิบัติธรรม ที่เก่งๆ ของไทยก็มีตั้งเยอะ เช่น สมเด็จโต หลวงปู่มั่นและลูกศิษย์ หลวงพ่อปาน/พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) และหลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นต้น 

ทำไมพวกสาวกของสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปไม่เชื่อ  ดันไปเชื่อพระพม่า

พม่ามันมาตีกรุงศรีอยุธยา ปล้นไทยทั้งประเทศ  เผาพระ ลอกทองคำเอาไปเยอะแยะ 

งานวิชาการต่างๆ ก็สู้ไทยไม่ได้  คนพม่าตอนนี้ก็มาทำงานเป็นคนใช้แรงงานในเมืองไทย  ไปเลือกเชื่อพระพม่าได้ยังไง

เออ...ถ้าประเทศพม่าเขาเจริญกว่าประเทศเราก็ว่าไปอย่าง



21 ความคิดเห็น:

  1. เรื่องศาสนาไม่ได้วัดกันที่ชนชาติ มนุษยชาติ เผ่าพันธุ์ วรรณะ เชื้อสายนะครับ พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้อยู่แล้ว

    เรื่องความเจริญทางวัตถุมันเป็นเครื่องของการเมืองและเศรษฐกิจ เรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องของศาสนา เอามาเปรียบกันไม่ได้ครับ คนรวยใช่ว่าจะดีกว่าคนจน คนจบปริญญาเอกก็ใช่ว่าจะมีเชาวน์ปัญญามากกว่าคนจบ ป.๔

    ถ้าย้อนไปในอดีต ประเทศพม่ามีความเจริยรุ่งเรืองมากกว่าสยามประเทศมากมายเลยนะครับ ดูตัวอย่างจากอาณาจักรพุกามก็จะเห็นได้ชัดเจนมากครับ

    เรื่องของ "การเห็น" มันเป็นการปรุ่งแต่งของจิตให้เห็น อะไรที่จิตมันปรุงแต่งเราก็ไม่ควรจะยึดติดยืดถือ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าเห็นหรือไม่เห็น แต่มันอยู่ที่ว่าเราไปยึดติดกับมันหรือไม่เท่านั้น

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เอาประเด็นหลักๆ ที่เป็นวิชาการว่า ที่ผมเขียนไป มันผิดตรงไหน และผิดอย่างไร..........

      มัวเขียนอย่างนี้ ไม่ได้เกิดผลประโยชน์อะไรกับคนอ่าน

      ลบ
    2. ประเด็นเรื่องการพาดพิงถึงท่านมหาสีสะยาดอว์ ว่าเป็นชาวพม่ามีการเหยียดชนชาติ เผ่าพันธุ์ ที่

      บอกว่า "ทำไมพวกสาวกของสายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูปไม่เชื่อ ดันไปเชื่อพระพม่า"

      = เรื่องศาสนาไม่ได้วัดกันที่ชนชาติ มนุษยชาติ เผ่าพันธุ์ วรรณะ เชื้อสายนะครับ พระพุทธเจ้า

      พระองค์ทรงเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้อยู่แล้ว

      2.ประเด็นเรื่องความเจริญหรือไม่เจริญ (ทางวัตถุ) "ถ้าประเทศพม่าเขาเจริญกว่าประเทศเราก็ว่า

      ไปอย่าง...", " คนพม่าตอนนี้ก็มาทำงานเป็นคนใช้แรงงานในเมืองไทย ไปเลือกเชื่อพระพม่าได้ยัง

      ไง"

      = เรื่องความเจริญทางวัตถุมันเป็นเครื่องของการเมืองและเศรษฐกิจ เรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้า

      เป็นเรื่องของศาสนา เอามาเปรียบกันไม่ได้ครับ คนรวยใช่ว่าจะดีกว่าคนจน คนจบปริญญาเอกก็ใช่

      ว่าจะมีเชาวน์ปัญญามากกว่าคนจบ ป.๔

      3.ประเด็นเรื่องงานวิชาการ (ถ้าพูดถึงงานวิชาการมันก็รวมไปถึงงานวิชาการด้านพุทธศาสนาด้วย)

      คุณบอกว่า "งานวิชาการต่างๆ ก็สู้ไทยไม่ได้"

      = ถ้าย้อนไปในอดีต ประเทศพม่ามีความเจริยรุ่งเรืองมากกว่าสยามประเทศมากมายเลยนะครับ

      ดูตัวอย่างจากอาณาจักรพุกามก็จะเห็นได้ชัดเจนมากครับ

      4.ประเด็นสุดท้ายเรื่อง "การเห็น" อันนี้เป็นประเด็นสำคัญในบทความที่คุณเขียนนี้ คุณบอกว่า

      "ขออธิบายเพิ่มเติมเพื่อย้ำสักนิดว่า พระพม่าท่านไม่ได้ปฏิเสธ “การเห็น” (Seeing) ใน

      ทำนองที่ว่า เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะมี “การเห็น” (Seeing) พระพม่ายอมรับว่า ในการ

      ปฏิบัติธรรมสามารถเห็นได้"

      = เรื่องของ "การเห็น" มันเป็นการปรุ่งแต่งของจิตให้เห็น อะไรที่จิตมันปรุงแต่งเราก็ไม่ควรจะ

      ยึดติดยืดถือ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าเห็นหรือไม่เห็น แต่มันอยู่ที่ว่าเราไปยึดติดกับมันหรือไม่เท่านั้น

      อีกนัยหนึ่งการเห็นในระดับวิปัสสนากรรมฐานหมายถึงการเห็น

      ---------------------------------------------------------
      = เสริมตรงนี้อีกนิด ที่บอกว่า "ก็อาจารย์คุณเขาสอนห้าม "เห็น" ถ้าเห็นอะไรผิดหมด แล้วคุณจะ

      "เห็นได้อย่างไร" ถ้าคุณเห็น คุณก็ต้องใช้วิชาอื่นแล้ว"

      คำว่าเห็นยังนับรวม "ดวงตาเห็นธรรม","ธัมมจักขุ" (spiritual eye) ด้วย

      การทำสมาธิสาย "พม่า" อย่างที่คุณดูถูกนั่นน่ะ ก็เพื่อให้เกิดธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม คือ

      ปัญญา รู้เห็นความจริงว่า สิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวง ล้วนมีความดับไป

      ลบ
  2. 1.ประเด็นเรื่องการพาดพิงถึงท่านมหาสีสะยาดอว์ ว่าเป็นชาวพม่ามีการเหยียดชนชาติ เผ่าพันธุ์ ที่บอกว่า "ทำไมพวกสาวกของสายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูปไม่เชื่อ ดันไปเชื่อพระพม่า"

    = เรื่องศาสนาไม่ได้วัดกันที่ชนชาติ มนุษยชาติ เผ่าพันธุ์ วรรณะ เชื้อสายนะครับ พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้อยู่แล้ว

    2.ประเด็นเรื่องความเจริญหรือไม่เจริญ (ทางวัตถุ) "ถ้าประเทศพม่าเขาเจริญกว่าประเทศเราก็ว่าไปอย่าง...", " คนพม่าตอนนี้ก็มาทำงานเป็นคนใช้แรงงานในเมืองไทย ไปเลือกเชื่อพระพม่าได้ยังไง"

    = เรื่องความเจริญทางวัตถุมันเป็นเครื่องของการเมืองและเศรษฐกิจ เรื่องคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องของศาสนา เอามาเปรียบกันไม่ได้ครับ คนรวยใช่ว่าจะดีกว่าคนจน คนจบปริญญาเอกก็ใช่ว่าจะมีเชาวน์ปัญญามากกว่าคนจบ ป.๔

    3.ประเด็นเรื่องงานวิชาการ (ถ้าพูดถึงงานวิชาการมันก็รวมไปถึงงานวิชาการด้านพุทธศาสนาด้วย) คุณบอกว่า "งานวิชาการต่างๆ ก็สู้ไทยไม่ได้"

    = ถ้าย้อนไปในอดีต ประเทศพม่ามีความเจริยรุ่งเรืองมากกว่าสยามประเทศมากมายเลยนะครับ ดูตัวอย่างจากอาณาจักรพุกามก็จะเห็นได้ชัดเจนมากครับ

    4.ประเด็นสุดท้ายเรื่อง "การเห็น" อันนี้เป็นประเด็นสำคัญในบทความที่คุณเขียนนี้ คุณบอกว่า "ขออธิบายเพิ่มเติมเพื่อย้ำสักนิดว่า พระพม่าท่านไม่ได้ปฏิเสธ “การเห็น” (Seeing) ในทำนองที่ว่า เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะมี “การเห็น” (Seeing) พระพม่ายอมรับว่า ในการปฏิบัติธรรมสามารถเห็นได้"

    = เรื่องของ "การเห็น" มันเป็นการปรุ่งแต่งของจิตให้เห็น อะไรที่จิตมันปรุงแต่งเราก็ไม่ควรจะยึดติดยืดถือ ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าเห็นหรือไม่เห็น แต่มันอยู่ที่ว่าเราไปยึดติดกับมันหรือไม่เท่านั้น

    อีกนัยหนึ่งการเห็นในระดับวิปัสสนากรรมฐานหมายถึงการเห็น

    ---------------------------------------------------------
    = เสริมตรงนี้อีกนิด ที่บอกว่า "ก็อาจารย์คุณเขาสอนห้าม "เห็น" ถ้าเห็นอะไรผิดหมด แล้วคุณจะ "เห็นได้อย่างไร" ถ้าคุณเห็น คุณก็ต้องใช้วิชาอื่นแล้ว"

    คำว่าเห็นยังนับรวม "ดวงตาเห็นธรรม","ธัมมจักขุ" (spiritual eye) ด้วย

    การทำสมาธิสาย "พม่า" อย่างที่คุณดูถูกนั่นน่ะ ก็เพื่อให้เกิดธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญา รู้เห็นความจริงว่า สิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวง ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา คือกฎไตรลักษณ์

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. จะตอบเฉพาะตอนท้ายที่คุณเสริม

      ...............
      "คำว่าเห็นยังนับรวม "ดวงตาเห็นธรรม","ธัมมจักขุ" (spiritual eye) ด้วย"
      .......................

      ตรงนี้ เขียนทำไม ไม่เห็นจะต้องมีข้อความนี้ เพิ่มขึ้นมา คุณไม่เข้าใจอะไรหรือเปล่า.............

      ......................
      การทำสมาธิสาย "พม่า" อย่างที่คุณดูถูกนั่นน่ะ ก็เพื่อให้เกิดธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญา รู้เห็นความจริงว่า สิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวง ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา คือกฎไตรลักษณ์
      ........................

      ตรงนี้นี่แหละ ความมั่วตัวจริงเสียงจริงของพระพม่ากับพวกโง่ๆ แบบคุณ

      มีดวงตาเห็นธรรม ก็ต้องเห็น ไม่ใช่ไปตีความว่า "มีปัญญา" โดยปราศจาก "การเห็น"

      การเห็นพระไตรลักษณ์ ก็ต้องเห็นจริงๆ ไม่ใช่ "คิดไปอย่างนักปรัชญา" เพราะ การพิจารณาพระไตรลักษณ์เป็น "อนุปัสสนา" เช่นเดียวกับสติปัฏฐาน 4

      อนุปัสสนา แปลว่า "ตามเห็น"

      ลบ
  3. ทำไมเลือกที่จะตอบเฉพาะตอนท้ายๆ ล่ะท่าน คุณก็บอกผมเองไม่ใช่หรือว่าให้พูดเป็นประเด็นๆ ไป ผมก็ทำให้แล้ว ทำไมไม่แยกมาเป็นประเด็นๆ กับผมไปล่ะ หรือว่ายอมรับในสิ่งที่ผมอธิบายไปเพราะไม่มีข้อโต้แย้ง!!!

    --------------------
    ้"คำว่าเห็นยังนับรวม "ดวงตาเห็นธรรม","ธัมมจักขุ" (spiritual eye) ด้วย"
    ถามว่าเขียนทำไม ก็เพราะมันมีคำว่า "เห็น" มาเกี่ยวข้องนะสิครับท่าน ทำไมเหรอ เขียนไม่ได้เหรอ ผิดว่างั้น?
    ---------------------
    -"ตรงนี้นี่แหละ ความมั่วตัวจริงเสียงจริงของพระพม่ากับพวกโง่ๆ แบบคุณ"

    -มีดวงตาเห็นธรรม ก็ต้องเห็น ไม่ใช่ไปตีความว่า "มีปัญญา" โดยปราศจาก "การเห็น"

    คุณสิ "มั่ว" ฮ่าๆๆ ไหนลองยกตัวอย่างมาสิว่าผมมั่วตรงไหน พูดเองเออเองตลอดเล่นไปบอกว่าคนนี้ผิดคนนั้นมั่ว ยอกธรรมบทหรืออะไรก็ได้มาแย้งผมสิ

    ผมจะอธิบายให้คุณฟังก่อนนะ แล้วช่วยแย้งผมด้วยถ้าผมผิด "ย้ำแย้งด้วยถ้าผมผิด"

    จักษุ หรือ จักขุ ในทางพระพุทธศาสนา มีความหมายสองประการ คือ

    1.มังสจักขุ ได้แก่ นัยน์ตาเนื้อใช้มองดูสิ่งต่างๆได้ เช่น นัยน์ตาของสัตว์ทั้งหลาย
    2.ปัญญาจักขุ ได้แก่ ความสามารถในการรู้เรื่องต่างๆ ด้วยปัญญา คือ เป็นการรู้ได้ทางใจ ไม่ใช่รู้ได้ด้วยนัยน์ตา


    ***ปัญญาจักขุ***

    ในทางพระพุทธศาสนาแสดงไว้เป็นห้าชนิด คือ

    1.พุทธจักขุ หมายถึง ญาณปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่หยั่งรู้ในอัธยาศัยของสัตว์โลกทั้งปวงได้ เรียกว่า อาสยานุสยญาณ
    และญาณปัญญาที่สามารถรู้ นามอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย ว่ายิ่งหรือหย่อนเพียงใด ที่เรียกว่า อินทรียปโรปริยัตติญาณ

    2.สมันตจักขุ หมายถึง ญาณที่สามารถรอบรู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งบัญญัติและปรมัตถธรรม ที่เรียกว่า สัพพัญญุตญาณ

    3.ญาณจักขุ หมายถึง ญาณปัญญาที่ทำให้สิ้นอาสวกิเลส เรียกว่า อรหัตมรรคญาณ หรือ อาสวักขยญาณ

    4.ธรรมจักขุ หมายถึง ญาณปัญญาของพระอริยบุคคลเบื้องต่ำทั้งสาม คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี

    5.ทิพพจักขุ หมายถึง ญาณปัญญาที่สามารถรู้เห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่ไกลแสนไกล ได้อย่างละเอียด ด้วยอำนาจของ สมาธิจิต ที่เรียกว่า อภิญญาสมาธิ

    ปัญญาจักขุห้าประการนี้ สมันตจักขุ พุทธจักขุ ย่อมมีได้แต่เฉพาะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ส่วนปัญญาจักขุที่เหลืออีกสามประการ ย่อมเกิดแก่ พระอริยบุคคลอื่นๆ หรือฌานลาภีบุคคล ที่ได้ทิพพจักขุญาณ ตามสมควรแก่ญาณ และบุคคล

    ปัญญาจักขุ ๕ มังสจักขุ ๑ รวมเป็น ๖ จึงเรียกกันสั้น ๆ ว่า จักขุ ๖

    จักขุ ๕ ยังหมายถึง พระจักษุอันเป็นสมบัติของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้แก่ มังสจักขุ ทิพพจักขุ ปัญญาจักขุ พุทธจักขุ สมันตจักขุ

    ในประวัติของอริยบุคคล ธรรมจักขุ ใช้คำว่า "ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน"บ้าง "ธรรมจักษุอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน" บ้าง

    ในพจนานุกรมพุทธศาสน์ บรรยายไว้ว่า ดวงตาเห็นธรรม คือ ปัญญารู้เห็นตามความจริงว่า สิ่งใดก็ตามมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวง ล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ธรรมจักษุโดทั่วไป เช่นที่เกิดแก่ท่านโกณฑัญญะ เมื่อสดับธรรมจักร ได้แก่ โสดาปัตติมรรค หรือโสดาปัตติมัคคญาณ คือ ญาณที่ทำให้เป็นโสดาบัน

    -----------------------------------------
    บอกมาเลยว่าผมมั่วผมผิด จะได้ประกาศใ้ห้โลกรู้กันไปเลย ว่าไอ้ที่ไปว่าคนอื่นเขามั่วเขาโง่เพราะมันมีความคิดไม่ตรงกับหลักอัตตาธิปไตยของคุณ (^_^)

    ตอบลบ
  4. 1) คุณนี่มันโง่ตัวจริงเสียงจริงเลย......... ทั้งโง่ ทั้งมึน ทั้งด้าน.... เวลาให้ความเห็น คลิกครั้งเดียวก็พอ Blog มันส่งมาแล้ว แต่ยังอยู่ใน Spam เพื่อให้คนเขียนบล็อกตรวจก่อน ไม่ต้องคลิกถึง 3-4 ครั้ง

    2) การเขียนบล็อกนั้น มีทั้งส่วนสำคัญที่เป็นเนื้อหาที่ต้องการเน้น และส่วนประกอบย่อยๆ ถกเถียงกันเฉพาะที่เป็นสาระสำคัญก็พอ เรื่องพระพม่า ประเทศพม่านั้น เป็นเรื่องย่อยๆ เพื่อให้เนื้อหาน่าอ่านมากขึ้น

    3) ตอนนี้อธิบายความโคตรโง่ของคุณ คือ คุณไปอ้างถึงพระพรหมคุณาภรณ์/พระธรรมปิกฎ/พระประยุทธ์/พระเปลืองข้าวสุกประชาชน พระรูปนี้ คือ พระไดโนเสาร์ที่โคตรโง่เลย คุณจึงโง่หนัก โง่ซ้ำ โง่ซ้อน

    ผมไม่เคยอ่านพบเลยว่า สาวกหลักๆ ของพระพม่า เช่น พระโชดก อุบาสิกาแนบ คุณแม่สิริ กรินชัย เป็นต้น ที่จะไปอ้างอิงข้อเขียนของพระพรหมคุณาภรณ์/พระธรรมปิกฎ/พระประยุทธ์/พระเปลืองข้าวสุกประชาชน

    พระอหิวาห์รูปนี้ ไม่เคยปฏิบัติธรรม ไม่เชื่อว่านรก-สวรรค์มีจริง ไม่เชื่อว่าอิทธิปาฏิหาริย์มีจริง แต่ไปเชื่อวิทยาศาสตร์

    จะอ้างใคร พิจารณาหน่อย

    สุดท้ายเลย คือ เนื้อหาสำคัญที่ผมเน้นมาตลอด พระพม่าตาบอด กับสาวกคนไทยโคตรโง่ แปลสติปัฏฐาน 4 ว่า ต้องเห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม

    แต่ "ไม่ยอมเห็น" สิ่งใด เห็นอะไรก็ว่า "เป็นนิมิตลวง" อย่างนี้มันผิดแน่ๆ

    ถ้าจะทำให้ถูกหลักการของพระพม่าคือ "ไม่ยอมเห็น" ก็อย่าแปลอย่างนั้น ให้แปลเป็นอย่างอื่น

    เวลาถกเถียงกันจะได้ไปเถียงกันว่า พระพม่าแปลถูกหรือผิดอย่างไร

    นี่เสือกแปลว่า "เห็น" แล้วไม่ยอมเห็นกันในตอนปฏิบัติ ทำมั่วคิดไปคิดมาแบบนักปรัชญาหรือนักวิชาการ

    อย่างนี้ ยังไม่เสือกรู้ว่าตัวเอง "โง่" อีก อย่างนี้ มันก็โง่เกินที่จะเยียวยารักษาแล้ว ..........

    สบายใจเหลือเกิน ตื่นมาก็ได้ด่าควายแล้ว..

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ13 ธันวาคม 2556 เวลา 17:44

    คำว่า "เห็น" ในทางธรรม คือการเข้าใจสิ่งนั้นจนเหมือนการมองเห็นโปร่งใสด้วยปัญญา อาจไม่ใช่เห็นรูปร่างที่สามารถจับต้องได้

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. บอกตรงๆ ไปแสดงความโง่ที่อื่นจะดีกว่า

      "เห็น" ก็ต้องเห็น ในพระไตรปิฎกยืนยันว่า "ตามีหลายประเภท"

      อ่านให้มาก คิดให้มาก มันจะทำให้หายโง่ได้บ้าง

      ลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ13 กันยายน 2557 เวลา 13:01

    เรียนพระสูตรเพื่อทำให้ตนหลุดพ้น........ธรรรมะเปรียบเสมือนแพ่ที่พาบุคคลข้ามไป...เมื่อบุคคลข้ามฝั่งได้แล้วบรุษไม่ควรแบกแพ่นั้นไปอีก......ควรวางแพ่ใว้แล้วไปตามความประสงค์
    .

    ตอบลบ
  7. เจ้าของกระทู้เป็น คนมีอคติ คนไม่มีธรรม
    คนไม่รู้ธรรม เรียนมาเยอะ สับสนไปเอง

    ตอบลบ
  8. อย่าเรียนมาก อย่าวิตกมาก แค่อย่าส่งจิต ออกนอกและอย่าสร้างอกุสลและอวดดีก็พอ

    ตอบลบ
  9. โอวาทปาฏิโมกข์ตอนท้ายบอกว่า อนูปวาทโท อนูปฆาโต ชาวพุทธจะต้องไม่ไปว่าร้าย ไม่ไปทำร้ายผู้อื่น ทั้งพระไทยและพระพม่าก็สอนเช่นนั้น ชาวพุทธไทยและชาวพุทธพม่าผู้ปฏิบัติธรรมก็ประพฤติเช่นนั้น

    ตอบลบ
  10. - ที่ผมเขียนไปมัน "ไม่จริง" อย่างไร
    - ที่ผมเขียนไปเป็นการ "ว่าร้าย" อย่างไร
    - โง่ก็นอนในปลักเงียบๆ จะดีกว่า

    ตอบลบ
  11. ไม่ระบุชื่อ20 เมษายน 2560 เวลา 14:30

    คุณแย่มาก ปรามาสพระอริยเจ้าแบบนี้ มีอบายภูมิเป็นที่ไป ขอให้คุณโชคดี

    ตอบลบ
  12. ไม่ระบุชื่อ20 เมษายน 2560 เวลา 14:32

    ที่แท้ก็พวกลิ่วล้อธรรมกาย ว่างๆเชิญไปรอรับหัวหน้าในคุกดีไหมอ่ะ ธรรมกายเห็นนรกสวรรค์ สงสัยจะไม่เห็นคุก 555555555555555555555555555555555555555555555555

    ตอบลบ
  13. การปฏิบัติแบบพองหนอ ยุบหนอ คนละเรื่องกับธรรมกาย เป็นการปฏิบัติวิปัสนาที่ถูกต้องในกรรมฐาน40 กอง เจ้าของกระทู้ไม่เคยปฏิบัติ ไม่รู้จริง อย่าเที่ยวไปวิจารคนอื่นเลย ยิ่งลบหลู่ผู้อื่นที่เราไม่รู้จักภูมิธรรมอย่างนี้ ท่านอาจไปอบายภูมิได้ง่ายทีเดียว...ขอให้โชคดี

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. คุณรู้ได้อย่างไรว่า ผมไม่เคยปฏิบัติแบบยุบหนอพองหนอ.. ผมบวชที่วัดอัมพวัน 1 พรรษา หลวงพ่อจรัลเป็นอุปัชฌาย์

      จะวิพากษ์อะไร ก็ควรหาความรู้ก่อน คุณนั่นแหละ ไปอบายภูมิแน่ๆ ไม่ "อาจ" ด้วย

      ลบ
    2. ไม่ระบุชื่อ6 ธันวาคม 2560 เวลา 20:41

      แหม เจ้าของกระทู้มากกว่านะครับควรจะไปหาความรู้ เคยบวชที่วัดอัมพวันมาแล้วแท้ๆ แต่กับไม่เข้าใจการสอนของสายยุบหนอพองหนอหรือสายรูปนาม เขาสอนตามหลักมหาสติปัฏฐาน๔ ไม่ใช่เหรอครับ สำนักสายยุบหนอฯที่ไหน ไม่ว่าไทยหรือพม่า เขาก็สอนแบบนี้ รวมทั้งที่วัดอัมพวัน หลวงพ่อจรัลท่านก็สอนสายยุบหนอฯนี้นิครับ ท่านเจ้าของกระทู้สร้างกระแสเหรอครับผม

      ลบ
  14. ไม่ระบุชื่อ26 ธันวาคม 2560 เวลา 09:50

    ผมไปปฏิบัติธรรมที่ไหน พระวิปัสนาจารย์สายพอง-ยุบทุกรูปก็จะกล่าวเสมอว่า การกำหนดพองยุบ เป็นการปฏิบัติตามหลักมหาสติปัฏฐาน๔ คือ กายานุปัสสนา และสิ่งที่เขาต้องการเห็นจากการปฏิบัตินี้คือ การเกิดดับ ของสภาวะธรรมต่างๆ ทำไมจึงว่าเขาปฏิเสธการเห็นหล่ะ พอง ยุบ ก็คือที่ตั้งของอารมณ์หลัก ที่เหลือก็เป็นการกำหนดสภาวะที่มากระทบ ทั้งความคิด เวทนา ความสุขฯลฯ ให้เห็นตามความจริง แล้วที่ว่าพระพม่าเชื่อวิทยาศาสตร์หน่ะ นักวิชาการไทยเองก็พยายามจะยัดเยียดว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์อยู่ไม่ใช่เหรอ จะเขียนบทความก็เอาอะไรที่มันแน่นๆมาจากประสบการณ์ตรงของตัวเองหน่อย ทำมาอ้างนรก สวรรค์ มันอยู่ไหนหล่ะ? เคยไปเหรอ? อ้างกรรมจากอดีตของพม่าว่าเป็นกรรมจากการเผากรุง มหาสีสยาดอว์ท่านไปเผาด้วยเหรอ? รู้จักวัวแค่ปลายหาง ทำมาอ้างว่ารู้ทั้งตัว!!!

    ตอบลบ
  15. มองจากมุมบุคคลทั่วไปไม่ได้เชี่ยวชาญธรรมะ หากจะปฏิเสธการเห็นที่เป็นจิตนาการยอมรับเพียงสภาวะจริงที่เกิดน่าจะเป็นของจริง ส่วนถ้าเห็นโดยมโนแล้วจะคิดเพ้อว่าตัววิเศษแล้วขึ้นสวรรค์ โดยไม่ได้ทำความดี ตำหนิผู้อื่นอย่างไร้เมตตา น่าจะเป็นของลวง

    ตอบลบ