บทความชิ้นนี้
ต้องการที่จะชี้ให้เห็นว่า สายปฏิบัติธรรมจำนวน 2 สายคือ สายยุบหนอพองหนอ กับสายนาม-รูป
(การปฏิบัติวิปัสสนา วิสุทธิ ๗) ได้ละทิ้งวิธีการสำคัญของการบรรลุธรรม คือ “การเห็น”
ขออธิบายถึงสายนาม-รูปสักนิดหนึ่ง
สายนี้มีอุบาสิกาแนบ
มหานีรานนท์เป็นผู้เผยแพร่ สายนี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมนำเข้าจากประเทศพม่า
เช่นเดียวกับสายยุบหนอพองหนอ
ผมตั้งชื่อให้เองว่า
“สายนามรูป”
เพราะเห็นว่าเน้นนามกับรูปเสียเหลือเกิน
อย่างไรก็ดี
สายนี้ ได้ตีพิมพ์หนังสือขึ้นมา และตั้งชื่อว่า “การปฏิบัติวิปัสสนา
วิสุทธิ ๗” แต่ผมยังขอเรียกชื่อว่า “สายนามรูป” เช่นเดิม
เพราะสั้น และได้ใจความดี
การที่สายยุบหนอพองหนอ
กับสายนาม-รูป ปฏิเสธ “การเห็น” ก็เกิดจาก การเห็นว่าของต่างชาติดีกว่าของไทย คือ
หลงผิดที่ไปเชื่อครูบาอาจารย์ของตน ซึ่งเป็นพระภิกษุชาวพม่า
การหลงผิดดังกล่าวนั้น
ไม่ใช่ความผิดเล็กๆ
แต่เป็นความผิดใหญ่หลวงชนิดอภิอมตะมหานิรันดร์กาลเลยทีเดียว
อันจะส่งผลให้ผู้ปฏิบัติธรรมตามสายยุบหนอพองหนอ
กับสายนามรูปขาดโอกาสที่สำคัญที่จะทำให้ภพชาติสั้นลงไปอย่างน่าเสียดาย
ที่อันตรายยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ
ชาติภพที่เหลืออยู่ คงจะไม่ใช่ภพที่เป็นสุขนัก เพราะ
จากการตรวจสอบของผู้บรรลุวิชชาธรรมกายชั้นสูง ปรากฏว่า
บุคคลชั้นนำของสายปฏิบัติธรรมดังกล่าวนั้น
เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว หาไม่ได้ไปอยู่อย่างเป็นสุข
ทั้งๆ ที่มรณภาพในท่านั่งการทำสมาธิ
การเห็นในทางพุทธศาสนาสำคัญอย่างไร
ถ้าปราศจาก “การเห็น” ด้วยตาภายใน
ไม่ว่าใครก็ตาม เขาผู้นั้นหมดโอกาสที่จะบรรลุพระอรหันต์อย่างแน่นอน
ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ
แม้กระทั่งการปฏิบัติธรรมในระดับเบื้องต้น ก็ต้องอาศัย
“การเห็น”
ดังนั้น
ผู้ใดที่ปฏิเสธ “การเห็น” ในการปฏิบัติธรรม
ก็เรียนรู้ศาสนาพุทธไม่แตกต่างจากกลุ่มนักปรัชญาเท่าใดนัก
ผลที่ได้ก็คือ
“รู้” ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร
แต่การแค่ “รู้” แต่ไม่ปฏิบัตินั้น
ในทางศาสนาพุทธท่านไม่ได้บุญบารมีใดๆ
นักปรัชญาเขาต้องการ
“รู้”
ก็แค่ประเทืองปัญญา
เขาไม่ได้ปฏิบัติตามสิ่งที่เขาสอนก็ได้
พวกยุบหนอพองหนอกับพวกนามรูปบางท่าน จะมีการปฏิบัติธรรมด้วย แต่ก็ปฏิบัติผิดวิธี
ดังนั้น
ผลที่ได้รับคือ ปฏิเวธ
คนใดที่ตายไปแล้วได้ไปอยู่สวรรค์ชั้นที่ 1 ก็ถือว่าโชคดีเหลือหลายแล้ว
ที่กล่าวไปแล้วนั้น
มีหลักฐานจากพระไตรปิฎก ซึ่งผ่านการพิสูจน์และรับรองได้อย่างชัดเจนว่า
เป็นพุทธพจน์อย่างแน่นอน[1]
และเป็นผลที่ได้รับมาจากการปฏิบัติธรรมตามสายวิชาธรรมกายอีกด้วย
พระพุทธองค์ทรงสอนไว้หลายแห่งว่า
ในวันที่พระองค์บรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น
พระองค์บรรลุด้วย วิชชา 3
กล่าวคือ
ระลึกชาติของพระองค์ได้ก่อนเป็นลำดับแรก
ต่อมาก็ระลึกชาติของคนอื่น
การระลึกชาติของทั้งพระองค์เองและของคนอื่นๆ
นั้น พระองค์ทรงบรรยายอย่างชัดเจนว่า
พระองค์ "เห็น"
ว่าเกิดแต่ละชาติเป็นอย่างไร มีพ่อแม่พี่น้องเป็นใคร ทำอาชีพอะไร แล้วก็ตายอย่างไร
เปรียบเทียบกับสมัยปัจจุบันก็คือ
"เห็น" เหมือนเราดูหนังนั่นเอง
เมื่อระลึกชาติทั้งของพระองค์เองและของคนอื่นมากๆ
ชาติเข้า
ก็ทรงรู้สึกเบื่อหน่ายไม่อยากจะเกิดอีก จึงเข้าถึงวิชชาที่ 3 อาสวขยักญาณ และ
อริยสัจ 4 จึงทำให้กิเลสสิ้นไป
และสามารถบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณได้
โดยสรุป
ถ้าปราศจาก “การเห็น” แล้ว
ไม่มีทางที่ผู้ปฏิบัติธรรมคนใดจะบรรลุพระอรหันต์ได้เลย สาวกพระพม่าทั้งหลาย เห็นอะไรไม่ได้เลย
เห็นเมื่อไหร่ก็ว่าเป็น
“นิมิตลวง” ทั้งนั้น
สาวกพระพม่าเมื่อตายไปแล้ว อย่างมากที่จะได้ก็คือ สวรรค์ชั้นที่ 1
ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีความสุขนัก ถึงแม้จะอยู่บนสวรรค์ก็ตาม
บางคนบางพวกไปอบายภูมิเสียด้วยซ้ำ เพราะ ไปกระทำความผิดกระทงอื่นๆ เข้า
กลุ่มบุคคลทั้งหลายเหล่านั้น
จะว่าน่าสงสารก็น่าสงสาร
แต่จะทำอย่างไรได้
ก็เลือกที่จะตาบอดเอง ทั้งๆ ที่ตาก็ยังดีอยู่ แล้วจะโทษใคร...
-------------
เชิงอรรถ
[1] ในพระไตรปิฎกมีพระสูตรหลายพระสูตรที่ไม่ได้เป็นพุทธพจน์ และหลายพระสูตรได้แต่งเข้าไปในการสังคายนาในแต่ละครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น