บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

การเห็นทำให้โลกพัฒนา

พระพม่านั้น ปฏิเสธ การเห็น” ในการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะ เห็นอะไร ท่านก็ว่าเป็น นิมิตลวงทั้งหมด

ผมเห็นว่า พระพม่าเข้าใจผิดในประเด็นที่เกี่ยวกับการเห็น “การเห็น”” มีความสำคัญมากในการหาความรู้ไม่ว่าจะเป็นในด้านศาสนา ในด้านปกติธรรมดาของมนุษย์ 

ในบทความนี้จะยกตัวอย่าง “การเห็น”” ของนักวิทยาศาสตร์

การเห็นของนักวิทยาศาสตร์

ถ้าศึกษาประวัติของวิทยาศาสตร์จะเห็นว่า  ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ที่เจริญก้าวหน้า ขึ้นมาอย่างที่เห็นทุกวันนี้  แปรผันโดยตรงกับ การเห็น” หมายความว่า ยิ่งการเห็นชัดเจนมากขึ้นเท่าไหร่  วิทยาการก็ก้าวหน้าขึ้นเพียงนั้น

ยกตัวอย่างสั้นๆ ง่ายๆ เลยก็คือ กรณีของไอน์สไตน์

ตอนที่ไอน์สไตน์คิด ทฤษฎีสัมพัทธภาพได้  ตามหลักของทฤษฎีแล้ว จักรวาลมันจะต้องขยายตัวออกไป  แต่ตอนนั้น ค.ศ. 1905 ช่วงเวลาดังกล่าว ยังไม่มีกล้องฮับเบิ้ล 

กล้องธรรมดาที่ส่องท้องฟ้านั้น  ประสิทธิภาพมันจำกัด ทำให้มองเห็นว่า จักรวาลรอบนอกคงที่ ไม่มีการเคลื่อนไหว

นักดาราศาสตร์จึงคิดผิดไปว่า จักรวาลรอบนอกไม่มีการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่  เคลื่อนที่เฉพาะในระบบสุริยจักรวาล (Solar system) เท่านั้น

ไอน์สไตน์ก็ต้องเชื่อไปตามนักดาราศาสตร์ จึงต้องแก้ไขทฤษฎีของท่าน โดยเพิ่มจุดคงที่จักรวาลเข้าไป 

แต่พอตอนหลัง ระบบกล้องโทรทัศน์พัฒนาขึ้นมาก  นักวิทยาศาสตร์จึงรู้ว่า จักรวาลของเรากำลังขยายตัว  ที่รู้ก็เพราะ " การเห็น” " อีกนั่นแหละ

จะเห็นได้ว่า แม้กระทั่งวิทยาศาสตร์ ก็ต้องอาศัยการเห็นเป็นเครื่องมือในการหาความรู้ที่ถูกต้อง  แล้วผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูป  มีความสามารถในการเห็นอยู่ดีๆ อยู่แล้ว กลับไม่ใช้  แล้วจะรู้หัวข้อธรรมะต่างๆ ได้อย่างไร

นักวิทยาศาสตร์ใช้จินตนาการ

บางท่านอาจจะนึกเถียงในใจว่า นักวิทยาศาสตร์บางท่านก็ใช้จินตนาการเป็นเครื่องมือไม่ได้เห็นปรากฏการณ์จริงๆ  ถ้ามีคนเถียงอย่างนั้น ก็ถูก  แต่อย่างไรก็ดี  ในการพิสูจน์ทฤษฎีก็ต้องอาศัยการเห็นอยู่ดี

ยกตัวอย่างไอน์สไตน์นักวิทยาศาสตร์คนโปรดของผมอีกก็ได้

ตอนที่ไอน์สไตน์คิดทฤษฎีสัมพันธภาพได้ และรู้ว่าแสงเดินทางเป็นเส้นโค้งนั้น  ไอน์สไตน์ใช้จินตนาการ  ซึ่งผมเองยังจินตนาการไม่ได้เหมือนกันว่า แสงมันเดินทางเป็นเส้นโค้งได้ยังไง

บางคนอาจจะนึกดูถูกผมในใจว่า เรียนจบปริญญาเอกได้ยังไง แสงเดินทางเป็นเส้นโค้งก็นึกไม่ออก  ภาพประกอบตามหนังสือวิทยาศาสตร์ก็มีเยอะแยะไป

ช้าก่อน...

อย่าเพิ่งดูถูกผม  เพราะภาพประกอบที่ว่านั้น  เขาวาดเป็น 2 มิติให้พอนึกออก  แต่เวลาแสงจากดวงอาทิตย์มาถึงโลกเรา  มันไม่ได้มาเส้นเดียวเมื่อไหร่  มันมาทีเดียวทั้งโลกเลย

ตอนเช้าตื่นขึ้นมา ไม่ใช่ว่า แสงอาทิตย์มันส่องมาที่หัวเตียง 2 เส้น ที่ปลายเตียง 3 เส้นเสียเมื่อไหร่  ถ้าบ้านใครเป็นอย่างนั้น  ไม่ใช่แสงอาทิตย์มันมาเป็นเส้น  บ้านคุณหลังคามันรั่วแล้ว

ดังนั้น  แสงมันเดินทางเป็นเส้นโค้งนี่  ไม่รู้ว่า ไอน์สไตน์แกจินตนาการได้อย่างไร  ยอดมนุษย์จริงๆ

กลับมาเข้าเรื่อง

พอไอน์สไตน์ประกาศทฤษฎีออกไป  ไอน์สไตน์ได้บอกวิธีที่จะพิสูจน์ไว้ด้วย  คือ ต้องรอให้เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงขึ้น 

ก่อนเกิดสุริยุปราคา ขอให้ถ่ายรูปดวงดาวที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ไว้   ในขณะที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ให้ถ่ายรูปในตำแหน่งเดิมอีกครั้งหนึ่ง  จะเห็นว่าดวงดวงเปลี่ยนตำแหน่งไป

ไอน์สไตน์บอกตำแหน่งด้วยนะว่า จะเปลี่ยนไปกี่ฟิลิปดา การที่ดวงดาวเปลี่ยนตำแหน่งไปนั้นแหละ แสดงว่าแสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง

อีก 15 ปีต่อมา เซอร์เอ็ดดิงตัน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษถึงจะพิสูจน์ได้ จะเห็นว่าในการพิสูจน์ก็ต้องอาศัยการเห็นอีก

จินตนาการ ก็คือ การเห็นด้วยใจ

พูดถึงเรื่อง "จินตนาการ"  การจินตนาการนั้น ขอยืนยันว่าคือ การคิดให้เป็นภาพ หรือพูดในอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเห็นด้วยใจ  เพราะ ในทางพุทธศาสนาเถรวาทนั้น สมองเป็นเครื่องมือของใจ/จิต/วิญญาณ  สมองโดยตัวของมันเองคิด บ่ ได้

หลักฐานสนับสนุน

1) พอคนตาย ใจ/จิต/วิญญาณออกจากกายหยาบไปแล้ว  สมองมันคิดได้เมื่อไหร่  ตายสนิท

2) เทวดา/พรหม/อรูปพรหม มีสมองเมื่อไหร่  ท่านเหล่านั้นก็คิดได้ เพราะ ท่านเหล่านั้นมีใจ/จิต/วิญญาณ 

ใจ/จิต/วิญญาณนั้นประกอบด้วย เห็น-เวทนา จำ-สัญญา คิด-สังขาร รู้-วิญญาณ  เทวดา/พรหม/อรูปพรหมใช้ “คิด-สังขาร” เป็นเครื่องมือในการคิด

โดยสรุป

ในบันทึกผมอธิบายถึงว่า นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องอาศัยการเห็นเป็นเครื่องมือในการค้นคว้าหาความรู้  นักฟิกส์ใหม่นั้น  ในการสร้างทฤษฎีใหม่ๆ ท่านจะใช้จินตนาการ 

การจินตนาการของท่านก็คือ การเห็นด้วยใจ  และทฤษฎีทั้งหลายก็ต้องใช้การเห็นเป็นการพิสูจน์ทฤษฎีเหล่านั้น

ดังนั้น ถ้าปราศจาก “การเห็น””  การปราศจากเครื่องมือที่ดีในการค้นคว้าหาความรู้  พระพม่าปฏิเสธการเห็นว่าไม่จริง เป็นนิมิตลวง 

ความรู้ของพระพม่าในด้านธรรมปฏิบัติจึงไม่ไปถึงไหน  ล้าหลังอยู่กับที่มาเป็นพันปี  จักรพรรดิก็ไม่มีความรู้ตามพระพม่าไปด้วย

ก็เลือกที่จะตาบอดเอง ทั้งๆ ที่ตาก็ยังดีอยู่ แล้วจะโทษใคร...



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น