บทความนี้
น่าจะเป็นบทความสุดท้าย ของบทความชุด “พระพม่าตาบอด”
แล้ว ผมจะให้เหตุผลว่า “ทำไมพระพม่าจึงปฏิเสธการเห็น”
ขออธิบายเพิ่มเติมเพื่อย้ำสักนิดว่า
พระพม่าท่านไม่ได้ปฏิเสธ “การเห็น” (Seeing) ในทำนองที่ว่า เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะมี “การเห็น” (Seeing) พระพม่ายอมรับว่า
ในการปฏิบัติธรรมสามารถเห็นได้
แต่พระพม่าท่านเชื่อว่า
“สิ่งที่เห็น” ทั้งหมดเลย ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น เป็น นิมิตลวง
ไม่ใช่ทางตรง จะพาให้ชักช้า ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ภายใน 7 ปี 7
เดือน 7 วัน
ที่มันน่าเจ็บใจก็คือ
พระพม่าท่านไปเชื่อวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันที่ตกยุคไปแล้ว นักวิทยาศาสตร์เก่า
ท่านยอมรับไม่ได้ ว่าจะมี “การเห็น” ในลักษณะดังกล่าวนั้น
พระพม่าได้เอาอิทธิพลของวิทยาศาสตร์เก่าเข้ามาปะปนกับการปฏิบัติธรรม
การที่เหมารวม “การเห็น” ของการปฏิบัติธรรมว่าเป็นนิมิตลวงทั้งหมด
ก็เป็นการหาเหตุผลมาใส่ในภายหลัง
ถึงว่าประเทศพม่าถึงเจริญลงๆ
ตกต่ำไปเรื่อย
คิดอีกอย่างหนึ่ง
หรือจะเป็นบาปกรรมร่วมของสังคมพม่า ที่มาเผาพระ ลอกทองของเราไป
ตอนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2
โดยสรุป
จากที่เขียนมาทั้งหมดนี้
สรุปได้ว่า ในการค้นคว้าหาความรู้
ทั้งทางโลกและทางธรรมต้องอาศัย “การเห็น” เหมือนกัน
การที่ผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปไม่เชื่อคัมภีร์วิสุทธิมรรค
ไม่เชื่อสติปัฏฐาน 4 เพราะ สติปัฏฐาน 4 เป็น อนุปัสนา/ตามเห็น
ซึ่งก็คือ ไม่เชื่อพระไตรปิฎก ซึ่งก็คือ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แต่ไปเชื่อพระพม่า
พระพม่าเอง
ก็ไม่รู้ว่าตัวท่านนั้นเข้าใจผิด พระมหาสีสะยาดอว์นั้น
ผู้ได้วิชชาธรรมกายชั้นสูงตามไปดูแล้ว ไม่ได้ไปอย่างมีความสุขแต่อย่างไร
เมื่อมรณภาพไปแล้ว
พูดให้ง่ายๆ เข้าใจชัดๆ คือ พระมหาสีสะยาดอว์มรณภาพไปแล้ว ก็ไปสู่อบายภูมิ
ไม่ได้ไปสวรรค์ รูปพรหม หรืออรูปพรหมแต่อย่างใด
ตรงนี้เป็นปัญหาทางญาณวิทยา/ทฤษฎีความรู้
(Epistemology)
ที่สายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปไม่รู้จะเถียงยังไง
เรียกว่า
แพ้กันมาตั้งแต่ในมุ้ง
คือ
ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปจะแย้งว่า ที่ผมเขียนไป "ไม่จริง" ก็ทำไม่ได้ ก็เพราะ ตำรับตำราของสายวิชาธรรมกายเขายืนยันการเห็น
ตำราของหลวงพ่อวัดปากน้ำมีสอนเลยว่า
จะไปสวรรค์ทำยังไง จะไปนรกทำยังไง เวลาจะคุยกับเทวดาหรือสัตว์นรกจะทำยังไง
เมื่อมีผู้ยืนยันว่า
ท่านทำวิชาธรรมกายชั้นสูงได้ ในทางวิชาการก็สามารถยอมรับได้ว่า
ท่านก็กล่าวอย่างมีเหตุผล เพราะ หลักสูตรของวิชาธรรมกายเขียนไว้อย่างนั้น
ที่นี้ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปจะโต้แย้งบ้าง
ก็ไม่รู้จะทำยังไง
สมมุติว่า
จะแย้งว่า เขาก็ปฏิบัติธรรมได้ชั้นสูงเหมือนกัน ไปดูบนสวรรค์แล้ว ปรากฏว่า พระมหาสีสะยาดออยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต
อย่างนี้ผมเถียงได้สบายเลยว่า
อ้าว.........ก็อาจารย์คุณเขาสอนห้าม
"เห็น" ถ้าเห็นอะไรผิดหมด แล้วคุณจะ "เห็นได้อย่างไร" ถ้าคุณเห็น คุณก็ต้องใช้วิชาอื่นแล้ว
ดังนั้น สายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูปนี่
ถ้าพิจารณาในแง่ ญาณวิทยา/ทฤษฎีความรู้ (Epistemology) เครื่องมือของท่านคับแคบ
มีประสิทธิภาพน้อยเหลือเกินในการหาความรู้
สุดท้ายจริงๆ
ก็ต้องจบด้วยข้อความที่ต้องการย้ำอีกทีว่า
ก็เลือกที่จะตาบอดเอง ทั้งๆ ที่ตาก็ยังดีอยู่ แล้วจะโทษใคร..
พระมหาสีสะยาดอว์นั้น
เป็นผู้ก่อให้เกิดสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปในเมืองไทย
ขณะที่
“ต้นสายวิชา” ยังไม่ได้พบกับความสุขเมื่อมรณภาพไปแล้ว ผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปก็คิดเอาเองก็แล้วกันว่า
เมื่อท่านตายไปแล้ว ท่านจะไปอยู่แห่งหนใด
ก็เลือกที่จะตาบอดเอง
ทั้งๆ ที่ตาก็ยังดีอยู่ แล้วจะโทษใคร...
ท้ายที่สุด
ขอแถมอีกนิดหนึ่ง ผมก็มีเหตุผลที่แปลกๆ หน่อยหนึ่ง คือ
พระผู้ปฏิบัติธรรม
ที่เก่งๆ ของไทยก็มีตั้งเยอะ เช่น สมเด็จโต หลวงปู่มั่นและลูกศิษย์
หลวงพ่อปาน/พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) และหลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นต้น
ทำไมพวกสาวกของสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปไม่เชื่อ ดันไปเชื่อพระพม่า
พม่ามันมาตีกรุงศรีอยุธยา
ปล้นไทยทั้งประเทศ เผาพระ
ลอกทองคำเอาไปเยอะแยะ
งานวิชาการต่างๆ
ก็สู้ไทยไม่ได้
คนพม่าตอนนี้ก็มาทำงานเป็นคนใช้แรงงานในเมืองไทย ไปเลือกเชื่อพระพม่าได้ยังไง
เออ...ถ้าประเทศพม่าเขาเจริญกว่าประเทศเราก็ว่าไปอย่าง