บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

มหาสีสะยาดอว์ไปอบายภูมิ



บทความนี้ น่าจะเป็นบทความสุดท้าย ของบทความชุด “พระพม่าตาบอด” แล้ว  ผมจะให้เหตุผลว่า “ทำไมพระพม่าจึงปฏิเสธการเห็น

ขออธิบายเพิ่มเติมเพื่อย้ำสักนิดว่า พระพม่าท่านไม่ได้ปฏิเสธ การเห็น” (Seeing) ในทำนองที่ว่า เป็นไปไม่ได้ที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะมี การเห็น” (Seeing)  พระพม่ายอมรับว่า ในการปฏิบัติธรรมสามารถเห็นได้ 

แต่พระพม่าท่านเชื่อว่า สิ่งที่เห็นทั้งหมดเลย  ไม่ว่าอะไรทั้งสิ้น เป็น นิมิตลวง  ไม่ใช่ทางตรง จะพาให้ชักช้า ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ภายใน  7 ปี  7 เดือน  7 วัน

ที่มันน่าเจ็บใจก็คือ พระพม่าท่านไปเชื่อวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันที่ตกยุคไปแล้ว นักวิทยาศาสตร์เก่า ท่านยอมรับไม่ได้ ว่าจะมี การเห็น” ในลักษณะดังกล่าวนั้น 

พระพม่าได้เอาอิทธิพลของวิทยาศาสตร์เก่าเข้ามาปะปนกับการปฏิบัติธรรม

การที่เหมารวม การเห็น ของการปฏิบัติธรรมว่าเป็นนิมิตลวงทั้งหมด ก็เป็นการหาเหตุผลมาใส่ในภายหลัง

ถึงว่าประเทศพม่าถึงเจริญลงๆ ตกต่ำไปเรื่อย

คิดอีกอย่างหนึ่ง หรือจะเป็นบาปกรรมร่วมของสังคมพม่า ที่มาเผาพระ ลอกทองของเราไป ตอนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2

โดยสรุป

จากที่เขียนมาทั้งหมดนี้ สรุปได้ว่า ในการค้นคว้าหาความรู้  ทั้งทางโลกและทางธรรมต้องอาศัย การเห็น เหมือนกัน

การที่ผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปไม่เชื่อคัมภีร์วิสุทธิมรรค ไม่เชื่อสติปัฏฐาน  4 เพราะ สติปัฏฐาน  4 เป็น อนุปัสนา/ตามเห็น ซึ่งก็คือ ไม่เชื่อพระไตรปิฎก ซึ่งก็คือ ไม่เชื่อพระพุทธเจ้า แต่ไปเชื่อพระพม่า

พระพม่าเอง ก็ไม่รู้ว่าตัวท่านนั้นเข้าใจผิด พระมหาสีสะยาดอว์นั้น ผู้ได้วิชชาธรรมกายชั้นสูงตามไปดูแล้ว ไม่ได้ไปอย่างมีความสุขแต่อย่างไร เมื่อมรณภาพไปแล้ว 

พูดให้ง่ายๆ เข้าใจชัดๆ คือ พระมหาสีสะยาดอว์มรณภาพไปแล้ว ก็ไปสู่อบายภูมิ ไม่ได้ไปสวรรค์ รูปพรหม หรืออรูปพรหมแต่อย่างใด

ตรงนี้เป็นปัญหาทางญาณวิทยา/ทฤษฎีความรู้ (Epistemology) ที่สายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปไม่รู้จะเถียงยังไง

เรียกว่า แพ้กันมาตั้งแต่ในมุ้ง

คือ ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปจะแย้งว่า ที่ผมเขียนไป "ไม่จริง" ก็ทำไม่ได้ ก็เพราะ ตำรับตำราของสายวิชาธรรมกายเขายืนยันการเห็น

ตำราของหลวงพ่อวัดปากน้ำมีสอนเลยว่า จะไปสวรรค์ทำยังไง  จะไปนรกทำยังไง  เวลาจะคุยกับเทวดาหรือสัตว์นรกจะทำยังไง

เมื่อมีผู้ยืนยันว่า ท่านทำวิชาธรรมกายชั้นสูงได้  ในทางวิชาการก็สามารถยอมรับได้ว่า ท่านก็กล่าวอย่างมีเหตุผล เพราะ หลักสูตรของวิชาธรรมกายเขียนไว้อย่างนั้น

ที่นี้ถ้าผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปจะโต้แย้งบ้าง ก็ไม่รู้จะทำยังไง

สมมุติว่า จะแย้งว่า เขาก็ปฏิบัติธรรมได้ชั้นสูงเหมือนกัน ไปดูบนสวรรค์แล้ว  ปรากฏว่า พระมหาสีสะยาดออยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต

อย่างนี้ผมเถียงได้สบายเลยว่า

อ้าว.........ก็อาจารย์คุณเขาสอนห้าม "เห็น"   ถ้าเห็นอะไรผิดหมด  แล้วคุณจะ "เห็นได้อย่างไร"  ถ้าคุณเห็น คุณก็ต้องใช้วิชาอื่นแล้ว

ดังนั้น  สายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูปนี่ ถ้าพิจารณาในแง่ ญาณวิทยา/ทฤษฎีความรู้ (Epistemology)  เครื่องมือของท่านคับแคบ มีประสิทธิภาพน้อยเหลือเกินในการหาความรู้

สุดท้ายจริงๆ ก็ต้องจบด้วยข้อความที่ต้องการย้ำอีกทีว่า  ก็เลือกที่จะตาบอดเอง ทั้งๆ ที่ตาก็ยังดีอยู่ แล้วจะโทษใคร..

พระมหาสีสะยาดอว์นั้น เป็นผู้ก่อให้เกิดสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปในเมืองไทย 

ขณะที่ “ต้นสายวิชา” ยังไม่ได้พบกับความสุขเมื่อมรณภาพไปแล้ว  ผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปก็คิดเอาเองก็แล้วกันว่า เมื่อท่านตายไปแล้ว  ท่านจะไปอยู่แห่งหนใด

ก็เลือกที่จะตาบอดเอง ทั้งๆ ที่ตาก็ยังดีอยู่ แล้วจะโทษใคร...

ท้ายที่สุด ขอแถมอีกนิดหนึ่ง ผมก็มีเหตุผลที่แปลกๆ หน่อยหนึ่ง  คือ

พระผู้ปฏิบัติธรรม ที่เก่งๆ ของไทยก็มีตั้งเยอะ เช่น สมเด็จโต หลวงปู่มั่นและลูกศิษย์ หลวงพ่อปาน/พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) และหลวงพ่อวัดปากน้ำ เป็นต้น 

ทำไมพวกสาวกของสายยุบหนอพองหนอกับสายนามรูปไม่เชื่อ  ดันไปเชื่อพระพม่า

พม่ามันมาตีกรุงศรีอยุธยา ปล้นไทยทั้งประเทศ  เผาพระ ลอกทองคำเอาไปเยอะแยะ 

งานวิชาการต่างๆ ก็สู้ไทยไม่ได้  คนพม่าตอนนี้ก็มาทำงานเป็นคนใช้แรงงานในเมืองไทย  ไปเลือกเชื่อพระพม่าได้ยังไง

เออ...ถ้าประเทศพม่าเขาเจริญกว่าประเทศเราก็ว่าไปอย่าง



การเห็นในศาสนาพุทธ

ผมได้นำเสนอและหลักฐานว่า การเห็น” สำคัญมากในการหาความรู้ ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินชีวิตตามปกติของมนุษย์ทั่วๆ ไป  รวมถึงความก้าวหน้าในทางวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องอาศัย การเห็น

วันนี้จะมานำเสนอ การเห็น” ในศาสนาพุทธเถรวาทของเรา

ในทางศาสนาพุทธนั้น มีศัพท์ภาษาบาลีที่แปลว่า “เห็น” อันเป็นที่คุ้นหูคุ้นตาของพุทธศาสนิกชนอยู่เป็นจำนวนมาก

ในบทความนี้ จะขอยกตัวอย่างเพียง 3 คำ คือ คือ ญาณทัสสนะ, ตรัสรู้ และวิปัสสนา 

วิปัสสนา
ได้กล่าวไปแล้วหลายครั้งว่า “วิปัสสนา” แปลว่า “เห็นแจ้ง”  “วิ” แปลว่า “แจ้ง” ส่วน “ปัสสนา” แปลว่า “เห็น” 

ญาณทัสสนะ
คำว่า ญาณ แปลว่า "รู้"  ทัสสนะ แปลว่า "เห็น"

พระพุทธเจ้านั้น พระองค์ท่านทรงเห็นก่อนแล้วจึงรู้  แต่การเห็นหัวข้อธรรมะที่ละเอียดลึกซึ้งนั้น พระองค์เห็นด้วยตาของกายธรรม  ไม่ใช้เห็นด้วยตาของกายเนื้อของพระองค์

ตรัสรู้
คำว่า ตรัส นั้น  ส่วนใหญ่ เราคิดว่าแปลว่า "พูด"  ซึ่งก็ถูก ถ้าในกรณีที่คำว่า "ตรัส" เป็นคำกริยา (verb)  แต่คำว่าตรัสนั้น เป็นคำวิเศษณ์ (adverb) ก็ได้ อย่างเช่นในคำว่า ตรัสรู้

ตรัสที่เป็นคำวิเศษณ์ (adverb) แปลว่า แจ้ง สว่าง ชัดเจน  ดังนั้น คำว่า ตรัสรู้จึงไม่ได้แปลว่า "พูดว่ารู้"  แต่แปลว่า “รู้แจ้ง

การที่จะรู้แจ้ง/ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้น ก็มีพื้นฐานมาจาก เห็นแจ้ง/วิปัสสนา ที่สายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูปคิดว่าตนเองรู้แล้ว  แต่ในความจริงไม่รู้เลย

ถ้าเป็นภาษาของ KM (knowledge management) ก็เป็นพวกกลุ่มที่ต้องพัฒนากันหนักเลย เพราะ เป็นพวกที่ "ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้"  กลับหลงผิดคิดไปว่า "ข้ารู้แล้ว คนอื่นไม่รู้" พัฒนายากนะครับ คนกลุ่มนี้

จะเห็นได้ว่า การที่จะบรรลุพระอรหันต์ต้องอาศัย " การเห็น” " ทั้งจากตาของกายเนื้อและตาของกายภายใน จึงจะทำให้ "รู้แจ้ง/ตรัสรู้" ได้

สายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูปตัดการเห็นออกไปเสียสิ้น  เอาแต่หลับตาบ้าง ลืมตาบ้าง "คิด" อย่างเดียว  โดยอ้างว่า เป็นการ "พิจารณา" พระไตรลักษณ์ให้เห็นว่า ขันธ์ 5 เป็นอนิจจัง/ทุกขัง/อนัตตา และนำเข้าคำว่า "เข้าใจ" มาแทนคำว่า รู้/เห็น

ในฐานะที่เป็นนักภาษาศาสตร์ ผมขอยืนยันว่า คำว่า "เข้าใจ" ไม่มีในพระไตรปิฎกครับ  น่าจะมาจากคำว่า "understand" ของภาษาอังกฤษ

อนัตตลักขณสูตร พระสูตรที่ยืนยัน การเห็น

ในฐานะที่ศึกษาอนัตตลักขณสูตรมามาก ผมก็ขอยืนยันอีกว่า อนัตตลักขณสูตรก็ยืนยันการเห็น ดังนี้

ตัวอย่างที่ 1

ตรัสถามความเห็นของพระปัญจวัคคีย์
[21] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?

ตรงนี้มีคำ 2 คำที่เน้นก็คือ ตรัสถามความเห็น และควรหรือจะตามเห็น

คำว่า "ความเห็น" นี้ น่าจะมาจาก การเห็น” (seeing) ด้วยตา ซึ่งต้องเป็นตาภายในด้วย  และคำว่า ควรหรือจะตามเห็น  นี่ก็คือยืนยันชัดเจนว่า อนัตตลักขณสูตรนั้น ยืนยันเรื่อง การเห็น

นอกจากนั้นแล้ว  ข้อความช่วงที่ผมยกมานี้ เป็นการพิจารณา "รูป" นะครับ  "รูป" ทั้งพุทธวิชาการและพุทธปฏิบัติธรรมเห็นตรงกันว่า เป็นวัตถุหรือเป็นสสาร

คุณจะพิจารณาวัตถุหรือสสารไม่ใช้ตาหรือครับ  จะใช้วิธีคิดเอาเองหรือนึกเอาเองหรือครับ

ตัวอย่างที่ 2

ตรัสให้พิจารณาโดยยถาภูตญาณทัสสนะ
[22] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมด ก็เป็นแต่สักว่ารูป  เธอทั้งหลายพึงเห็นรูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า  นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา.

ข้อความส่วนนี้ คำว่า "ยถาภูตญาณทัสสนะ" ก็แปลว่า "รู้เห็นตามความเป็นจริง" และข้อความส่วนนี้ ขอให้พิจารณาดูให้ดีนะครับ  ว่ามีคำใดบ้าง

- รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน
- รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นภายในหรือภายนอก
- รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่หยาบหรือละเอียด
- รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่เลวหรือประณีต
- รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่ไกลหรือใกล้

รูปต่างๆ เหล่านี้ ต้องใช้ทั้งตาเนื้อและตาภายในครับ ถึงจะพิจารณาได้ครบถ้วน สายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูป ไม่ใช้ตา เอาแต่ยืน-เดิน-นั่ง-นอน คิดอย่างเดียว  แล้วมันจะบรรลุธรรมได้อย่างไรครับ ต่อให้เดินได้ระยะทางเท่ากับเส้นรอบวงของโลก 1,000 เที่ยว ก็ไม่สามารถที่จะบรรลุพระอรหันต์ได้

ตัวอย่างที่ 3

[23] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อม เบื่อหน่ายแม้ในรูป ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้น เมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว
อริยสาวกนั้นทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว  กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี.

ข้อความส่วนนี้ ยิ่งชัดใหญ่ครับ "อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้"  แสดงว่า ในขณะที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนอยู่นั้น  ปัจจวัคคีย์ก็ต้องปฏิบัติตามไปด้วย  จึงฟังไปเห็นไป  แล้วจึงบรรลุพระอรหันต์

สายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูปไม่ยอมเห็นสิ่งใด แล้วจะพิจารณาขันธ์ 5 ว่าเป็นอนิจจัง/ทุกขัง/อนัตตาได้อย่างไรครับ

โดยสรุป

การเห็น” เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการหาความรู้ คำว่า ญาณทัสสนะ, ตรัสรู้ และวิปัสสนา ทั้ง 3 คำนี้ ก็แปลว่า “เห็น”  ในอนัตตลักขณสูตร ก็มีเนื้อความที่แสดงว่า การเห็น” เป็นสิ่งสำคัญ

พระพม่าปฏิเสธการเห็นทั้งหมด โดยมีความเชื่อว่า “เป็นไปไม่ได้”  เมื่อปฏิเสธเครื่องมือสำคัญในการหาความรู้

พระพม่าจึง “งมงาย” อยู่ในความรู้ที่ผิดๆ มาเป็นนับพันปีแล้ว

ก็เลือกที่จะตาบอดเอง ทั้งๆ ที่ตาก็ยังดีอยู่ แล้วจะโทษใคร...



การเห็นทำให้โลกพัฒนา

พระพม่านั้น ปฏิเสธ การเห็น” ในการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าจะ เห็นอะไร ท่านก็ว่าเป็น นิมิตลวงทั้งหมด

ผมเห็นว่า พระพม่าเข้าใจผิดในประเด็นที่เกี่ยวกับการเห็น “การเห็น”” มีความสำคัญมากในการหาความรู้ไม่ว่าจะเป็นในด้านศาสนา ในด้านปกติธรรมดาของมนุษย์ 

ในบทความนี้จะยกตัวอย่าง “การเห็น”” ของนักวิทยาศาสตร์

การเห็นของนักวิทยาศาสตร์

ถ้าศึกษาประวัติของวิทยาศาสตร์จะเห็นว่า  ความเจริญทางวิทยาศาสตร์ที่เจริญก้าวหน้า ขึ้นมาอย่างที่เห็นทุกวันนี้  แปรผันโดยตรงกับ การเห็น” หมายความว่า ยิ่งการเห็นชัดเจนมากขึ้นเท่าไหร่  วิทยาการก็ก้าวหน้าขึ้นเพียงนั้น

ยกตัวอย่างสั้นๆ ง่ายๆ เลยก็คือ กรณีของไอน์สไตน์

ตอนที่ไอน์สไตน์คิด ทฤษฎีสัมพัทธภาพได้  ตามหลักของทฤษฎีแล้ว จักรวาลมันจะต้องขยายตัวออกไป  แต่ตอนนั้น ค.ศ. 1905 ช่วงเวลาดังกล่าว ยังไม่มีกล้องฮับเบิ้ล 

กล้องธรรมดาที่ส่องท้องฟ้านั้น  ประสิทธิภาพมันจำกัด ทำให้มองเห็นว่า จักรวาลรอบนอกคงที่ ไม่มีการเคลื่อนไหว

นักดาราศาสตร์จึงคิดผิดไปว่า จักรวาลรอบนอกไม่มีการเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่  เคลื่อนที่เฉพาะในระบบสุริยจักรวาล (Solar system) เท่านั้น

ไอน์สไตน์ก็ต้องเชื่อไปตามนักดาราศาสตร์ จึงต้องแก้ไขทฤษฎีของท่าน โดยเพิ่มจุดคงที่จักรวาลเข้าไป 

แต่พอตอนหลัง ระบบกล้องโทรทัศน์พัฒนาขึ้นมาก  นักวิทยาศาสตร์จึงรู้ว่า จักรวาลของเรากำลังขยายตัว  ที่รู้ก็เพราะ " การเห็น” " อีกนั่นแหละ

จะเห็นได้ว่า แม้กระทั่งวิทยาศาสตร์ ก็ต้องอาศัยการเห็นเป็นเครื่องมือในการหาความรู้ที่ถูกต้อง  แล้วผู้ปฏิบัติธรรมสายยุบหนอพองหนอกับสายนาม-รูป  มีความสามารถในการเห็นอยู่ดีๆ อยู่แล้ว กลับไม่ใช้  แล้วจะรู้หัวข้อธรรมะต่างๆ ได้อย่างไร

นักวิทยาศาสตร์ใช้จินตนาการ

บางท่านอาจจะนึกเถียงในใจว่า นักวิทยาศาสตร์บางท่านก็ใช้จินตนาการเป็นเครื่องมือไม่ได้เห็นปรากฏการณ์จริงๆ  ถ้ามีคนเถียงอย่างนั้น ก็ถูก  แต่อย่างไรก็ดี  ในการพิสูจน์ทฤษฎีก็ต้องอาศัยการเห็นอยู่ดี

ยกตัวอย่างไอน์สไตน์นักวิทยาศาสตร์คนโปรดของผมอีกก็ได้

ตอนที่ไอน์สไตน์คิดทฤษฎีสัมพันธภาพได้ และรู้ว่าแสงเดินทางเป็นเส้นโค้งนั้น  ไอน์สไตน์ใช้จินตนาการ  ซึ่งผมเองยังจินตนาการไม่ได้เหมือนกันว่า แสงมันเดินทางเป็นเส้นโค้งได้ยังไง

บางคนอาจจะนึกดูถูกผมในใจว่า เรียนจบปริญญาเอกได้ยังไง แสงเดินทางเป็นเส้นโค้งก็นึกไม่ออก  ภาพประกอบตามหนังสือวิทยาศาสตร์ก็มีเยอะแยะไป

ช้าก่อน...

อย่าเพิ่งดูถูกผม  เพราะภาพประกอบที่ว่านั้น  เขาวาดเป็น 2 มิติให้พอนึกออก  แต่เวลาแสงจากดวงอาทิตย์มาถึงโลกเรา  มันไม่ได้มาเส้นเดียวเมื่อไหร่  มันมาทีเดียวทั้งโลกเลย

ตอนเช้าตื่นขึ้นมา ไม่ใช่ว่า แสงอาทิตย์มันส่องมาที่หัวเตียง 2 เส้น ที่ปลายเตียง 3 เส้นเสียเมื่อไหร่  ถ้าบ้านใครเป็นอย่างนั้น  ไม่ใช่แสงอาทิตย์มันมาเป็นเส้น  บ้านคุณหลังคามันรั่วแล้ว

ดังนั้น  แสงมันเดินทางเป็นเส้นโค้งนี่  ไม่รู้ว่า ไอน์สไตน์แกจินตนาการได้อย่างไร  ยอดมนุษย์จริงๆ

กลับมาเข้าเรื่อง

พอไอน์สไตน์ประกาศทฤษฎีออกไป  ไอน์สไตน์ได้บอกวิธีที่จะพิสูจน์ไว้ด้วย  คือ ต้องรอให้เกิดสุริยุปราคาเต็มดวงขึ้น 

ก่อนเกิดสุริยุปราคา ขอให้ถ่ายรูปดวงดาวที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ไว้   ในขณะที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง ให้ถ่ายรูปในตำแหน่งเดิมอีกครั้งหนึ่ง  จะเห็นว่าดวงดวงเปลี่ยนตำแหน่งไป

ไอน์สไตน์บอกตำแหน่งด้วยนะว่า จะเปลี่ยนไปกี่ฟิลิปดา การที่ดวงดาวเปลี่ยนตำแหน่งไปนั้นแหละ แสดงว่าแสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง

อีก 15 ปีต่อมา เซอร์เอ็ดดิงตัน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษถึงจะพิสูจน์ได้ จะเห็นว่าในการพิสูจน์ก็ต้องอาศัยการเห็นอีก

จินตนาการ ก็คือ การเห็นด้วยใจ

พูดถึงเรื่อง "จินตนาการ"  การจินตนาการนั้น ขอยืนยันว่าคือ การคิดให้เป็นภาพ หรือพูดในอีกอย่างหนึ่งก็คือ การเห็นด้วยใจ  เพราะ ในทางพุทธศาสนาเถรวาทนั้น สมองเป็นเครื่องมือของใจ/จิต/วิญญาณ  สมองโดยตัวของมันเองคิด บ่ ได้

หลักฐานสนับสนุน

1) พอคนตาย ใจ/จิต/วิญญาณออกจากกายหยาบไปแล้ว  สมองมันคิดได้เมื่อไหร่  ตายสนิท

2) เทวดา/พรหม/อรูปพรหม มีสมองเมื่อไหร่  ท่านเหล่านั้นก็คิดได้ เพราะ ท่านเหล่านั้นมีใจ/จิต/วิญญาณ 

ใจ/จิต/วิญญาณนั้นประกอบด้วย เห็น-เวทนา จำ-สัญญา คิด-สังขาร รู้-วิญญาณ  เทวดา/พรหม/อรูปพรหมใช้ “คิด-สังขาร” เป็นเครื่องมือในการคิด

โดยสรุป

ในบันทึกผมอธิบายถึงว่า นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องอาศัยการเห็นเป็นเครื่องมือในการค้นคว้าหาความรู้  นักฟิกส์ใหม่นั้น  ในการสร้างทฤษฎีใหม่ๆ ท่านจะใช้จินตนาการ 

การจินตนาการของท่านก็คือ การเห็นด้วยใจ  และทฤษฎีทั้งหลายก็ต้องใช้การเห็นเป็นการพิสูจน์ทฤษฎีเหล่านั้น

ดังนั้น ถ้าปราศจาก “การเห็น””  การปราศจากเครื่องมือที่ดีในการค้นคว้าหาความรู้  พระพม่าปฏิเสธการเห็นว่าไม่จริง เป็นนิมิตลวง 

ความรู้ของพระพม่าในด้านธรรมปฏิบัติจึงไม่ไปถึงไหน  ล้าหลังอยู่กับที่มาเป็นพันปี  จักรพรรดิก็ไม่มีความรู้ตามพระพม่าไปด้วย

ก็เลือกที่จะตาบอดเอง ทั้งๆ ที่ตาก็ยังดีอยู่ แล้วจะโทษใคร...